ในนามบริษัท ชาติ อินเตอร์คอร์ป โลจิสติกส์ จำกัด ขอต้อนรับขอต้อนรับท่านเข้าร่วมงานกับบริษัทด้วย ความยินดีอย่างยิ่ง บริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหวังท่านจะมีความรักในองค์กรแห่งนี้มีความกระตือรือร้นในการ ปฏิบัติงาน ตลอดจนรักษาผลประโยน์ของบริษัท ช่วยเหลือร่วมมือกันสร้างสรรค์ผลงาน ให้เกิดประโยน์เพื่อความ เจริญก้าวหน้าแก่ท่านและบริษัทต่อไป
เพื่อให้การดำเนินการธุรกิจของบริษัท ชาติ อินเตอร์คอร์ป โลจิสติกส์ จำกัด เป็นไปด้วยความเรียบร้อยเหมาะสม และตระหนักถึงความรับผิดชอบ หน้าที่ บรรลุตามวัตถุประสงค์หรือนโยบาย และให้สอดคล้องกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 บริษัทจึงได้กำหนดกฎระเบียบ ข้อบังคับ โดยมีความมุ่งหมายจะให้พนักงานปฏิบัติหน้าที่ตามบริษัท ผู้บริหารกำหนด ดังนั้นเพื่อให้พนักงานนำไปยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ตลอดจนมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของตนในฐานะที่เป็นพนักงานของบริษัทในการที่จะร่วมสร้าง และเติบโตไปด้วยกัน
1.1. คำจำกัดความ ตามข้อบังคับนี้
"บริษัท" หมายถึง บริษัท ชาติ อินเตอร์คอร์ป โลจิสติกส์ จำกัด
“ผู้บริหาร” หมายถึง ผู้มีอำนาจบริหารงานบริษัท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาติ อินเตอร์คอร์ป โลจิสติกส์ จำกัด และให้หมายรวมถึงคณะกรรมการผู้จัดการหรือกรรมการบริษัทด้วย
“พนักงาน” หมายถึง บุคคลที่ได้รับการจ้างให้ทำงานกับบริษัท โดยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งหมายรวมถึงลูกจ้างซึ่งเป็นพนักงานอยู่ระหว่างระยะทดลองงานหรือมีกำหนดเวลาจ้างไว้แน่นอน
“ผู้บังคับบัญชา” หมายถึง พนักงานที่ได้รับแต่งตั้งจากบริษัท ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานส่วนใดส่วนหนึ่ง ทั้งในด้านการปฏิบัติงาน การบังคับบัญชาพนักงาน และการควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของบริษัท ซึ่งระเบียบปฏิบัติบริหารหรือผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไปกำหนด
1.2. “ผู้บริหาร” มีหน้าที่ความรับผิดชอบดังนี้
1.2.1. รับผิดชอบในฐานะผู้นำบริษัทในการกำกับติดตามดูการบริหารงานของผู้จัดการหรือรองผู้จัดการ และให้คำแนะนำเพื่อทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนงานในภาพรวมที่ได้วางไว้นอกเหนือจากการดำเนินงานประจำวันซึ่งเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้จัดการ
1.2.2. เป็นประธานนำการประชุมของผู้ถือหุ้น และกรรมการผู้จัดการของบริษัท
1.2.3. เป็นผู้ลงคะแนนเสียงชี้ขาดในกรณีที่ประชุมมีการลงคะแนนเสียง
1.2.4. มีอำนาจในการสั่งปลดผู้จัดการหรือรองผู้จัดการในกรณีปฏิบัติละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับบริษัท
1.2.5. พิจารณาเงินเดือนของพนักงานทุกคน
1.3. ข้อกำหนด
เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างมีประสิทธิ และประสิทธิผล บริษัทและผู้บริหารทรงไว้ซึ่งสิทธิในการบริหาร และการจัดการ ดังนี้
- รักษาไว้ซึ่งระเบียบวินัย ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการทำงานรวมถึงการกำหนดเปลี่ยนแปลงแก้ไข ตัดทอน หรือยกเลิกในเรื่องที่เกี่ยวกับระเบียบวินัย ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการทำงาน
- สิทธิในการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจซึ่งหมายความรวมถึงการกำหนดอัตรากำลังคน การจ้างงาน การกำหนดการทำงาน การโยกย้ายเปลี่ยนแปลงสถานที่ทำงาน ตำแหน่งหน้าที่การมอบหมาย และการสั่งการให้ปฏิบัติหน้าที่ การพิจารณาค่าจ้างเงินเดือน และความดีความชอบ การลงลงโทษทางวินัย การสร้างงานใหม่รวมถึงการออกระเบียบเกี่ยวกับการทำงานแต่ละฝ่ายหรือแผนก
- สิทธิในการออกกฎระเบียบข้อบังคับสำหรับควบคุมประพฤติ หลักการปฏิบัติงานรวมถึงระเบียบเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน
- พนักงานมีหน้าที่ที่จะต้องจะปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และมีประสิทธิภาพให้มากที่สุด ทั้งนี้พนักงานจะต้องเคารพ และปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งของบริษัท ผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชา โดยเคร่งครัดและสม่ำเสมอ โดยจะปฏิบัติอยู่ในขอบข่ายของวินัยอันดีงานเพื่อนำมาซึ่งชื่อเสียง และเกียรติคุณทั้งในด้านส่วนตัวของพนักงานเอง และในด้านส่วนรวมคือบริษัท
- พนักงานมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมตาม พ.ร.บ. ประกันสังคม ด้วยตนเอง โดยบริษัทจะทำการหักจากเงินเดือนของพนักงานประจำงวดตามอัตราที่กฎหมายกำหนดเพื่อรวบรวมส่งสำนักงานประกันสังคมต่อไป
- การทำงานบริษัทต้องไม่เปิดเผยความลับของบริษัท ที่เกี่ยวข้องกับงานของบริษัท และข้อมูลอื่นๆ ที่ได้จากการทำงานอันอาจนำความเสียหายมาสู่บริษัท
- ไม่เป็นคู่แข่งภายในระยะ 2 ปี หลังสิ้นสุดการว่าจ้าง
- สิทธิในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาให้ตกเป็นของบริษัท
- พนักงานพ้นสภาพการเป็นพนักงานจักต้องนำสิ่งของซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทมาคืนให้กับบริษัท เช่น คอมพิวเตอร์ กุญแจ คีย์การ์ด โทรศัพท์มือถือ และอื่นๆ หากของบริษัทได้รับความเสียหาย พนักงานจะต้องชดใช้ค่าเสียหายตามจริงให้กับทางบริษัทตามตกลง
1.4. แผนก
1.4.1. แผนกสำนักงาน (Office)
- ประกอบด้วย พนักงานบุคคล, พนักงานบัญชี, พนักงานการเงิน, พนักงานบริการลูกค้า, พนักงานส่งเอกสาร, พนักงานทำความสะอาด, พนักงานจัดซื้อ, พนักงานขับรถส่งของ และนักศึกษาฝึกงาน
1.4.2. แผนกชิปปิ้ง (Shipping)
- ประกอบด้วย พนักงานออกของ และนักศึกษาฝึกงาน
2.1. ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจ้างงาน
2.1.1. การจ้างพนักงานเข้าทำงานต้องเป็นไปตามอัตราที่กำหนดไว้ การเพิ่มหรือลดอัตราให้เป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติโดยบริษัท ผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชา
2.1.2. บริษัท ผู้บริหารหรือผู้ที่รับมอบอำนาจโดยแต่งตั้งเป็นผู้มีอำนาจในการสรรหา ทดสอบ สัมภาษณ์ บรรจุ แต่งตั้งให้ทำงานบริษัท ผู้บริหารจะเป็นผู้มีอำนาจในการโยกย้ายตำแหน่ง เปลี่ยนสถานที่ปฏิบัติงาน หน้าที่การงาน ถอดถอนหรือให้ออกจากงาน
2.1.3. บริษัทไว้ซึ่งสิทธิจะให้พนักงานไปทำงานนอกสถานที่ เปลี่ยนแปลงสถานที่ปฏิบัติงานได้ โดยบริษัทจะปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขตามความจำเป็น ความเหมาะสมหรือการจ้างงานของแต่ละตำแหน่งโดยไม่ขัดต่อกฎหมายแรงงาน
2.1.4. ประเภทของพนักงาน เพื่อประโยชน์ในการบริหารงาน บริษัทจำแนกประเภทของพนักงานไว้ ดังนี้
2.1.4.1. พนักงานรายเดือน คือ พนักงานที่บริษัทตกลงจ้างโดยกำหนดค่าจ้างเป็นรายเดือน
2.1.4.2. พนักงานรายวัน คือ พนักงานที่บริษัทตกลงจ้างโดยกำหนดค่าจ้างเป็นรายวัน
2.1.4.3. พนักงานทดลองงาน คือ บุคคลที่บริษัทจ้าง แต่มีเงื่อนไขทดลองปฏิบัติงานเป็นระยะเวลา 120 วัน โดยบริษัท ผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชาจะประเมินการทดลองงานจากผลการปฏิบัติงาน หากไม่ผ่านบริษัทจะบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน
2.1.4.4. พนักงานตามสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะแน่นอน คือ บุคคลที่บริษัทตกลงจ้างทำงานโดยระบุระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดแน่นอน หากสัญญาจ้างสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลาในสัญญาจ้าง บริษัทมิจำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
2.2. การจ้างงาน
หน้าที่ การปฏิบัติของพนักงานจะต้องปฏิบัติตามที่ได้รับมอบหมายจากบริษัท ผู้บริหาร ผู้บังคับบัญชาเพื่อบรรลุภารกิจของบริษัท และดำรงไว้ในการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของบริษัท โดยมีหน้าที่การปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่บริษัท ผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายไว้ และให้มีการใช้อำนาจหน้าที่หากบริษัท ผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายไว้โดยสมควรเป็นครั้งคราว
(ข) อุทิศเวลา ความเอาใจใส่ และความสามารถให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตนตามสัญญาฉบับนี้อย่างเต็มที่ตลอดเวลาทำงานที่ระบุไว้ในสัญญา
(ค) ปฏิบัติตามบรรดาคำร้องขอ คำสั่ง และข้อบังคับอันสมควรของบริษัท ผู้บริหาร ผู้บังคับบัญชาและให้คำชี้แจง ข้อมูลและช่วยเหลือต่างๆ แก่บริษัท ผู้บริหาร และผู้บังคับบัญชา ตามที่กำหนดไว้
(ง) ตั้งใจปฏิบัติงานให้กับบริษัทโดยสุจริตอย่างเต็มที่ความสามารถของตน และใช้ความอุตสาหะอย่างถึงที่สุดในการค้ำจุนผลประโยชน์ของบริษัท
(จ) ไม่เข้าดำรงตำแหน่ง มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในธุรกิจอื่นใดที่เป็นการแข่งขันกับบริษัท ไม่ว่าฐานะตัวการหรือฐานะอื่นใด โดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากคณะกรรมการบริษัท
(ฉ) พนักงานได้รับทราบถึงเงื่อนไขในการว่าจ้างของบริษัท และถือปฏิบัติว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสถานที่ทำงานหน้าที่รับผิดชอบต่างแผนก/ฝ่าย หรือส่วนงานอื่นๆ ของบริษัท โดยบริษัทไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากท่านล่วงหน้า บริษัทสามารถแจ้งให้พนักงานเปลี่ยนแปลงที่ทำงาน ตำแหน่งและหน้าที่รับผิดชอบต่างแผนก/ฝ่าย หรือส่วนงานอื่นๆ ของบริษัทได้ตามคำร้องขอหรือคำสั่งของบริษัท ผู้บริหารและผู้บังคับบัญชา โดยพนักงานตกลงยินยอมปฏิบัติตามโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น
(ช) ในช่วงเวลา 120 วันแรกของการจ้างเป็นระยะเวลาทดลองงานบริษัทสามารถกำหนดเวลาทำงานให้กับพนักงานได้ และอาจเปลี่ยนแปลงตำแหน่งงานหรือสถานที่ทำงานในช่วงทดลองได้ และบริษัทสามรถปลดออกได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือจ่ายค่าพิเศษใด ๆ
(ซ) หลังจากสี่เดือน เมื่อพนักงานได้รับบรรจุงานเต็มที่แล้ว พนักงานจะต้องแจ้งบริษัทเป็นหนังสือบอกกล่าวภายในหนึ่งเดือน หากคุณประสงค์จะลาออก ขณะเดี่ยวกันบริษัทจะถือตามระเบียบที่วางไว้โดยกฎหมายแรงงานหากบริษัทประสงค์จะเลิกจ้างท่าน
(ฌ) เอกสารเกี่ยวกับลักษณะงานเป็นไปตามวาจาหรือเอกสารซึ่งอาจมีหรือไม่มีก็ได้
2.3. การโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่ เปลี่ยนแปลงสถานที่ปฏิบัติงาน การแต่งตั้ง หรือการถอดถอนพนักงาน
เพื่อให้การดำเนินงานของบริษัทเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ บริษัทมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจเด็ดขาด ในการโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่ สถานที่ทำงาน หรือให้พนักงานไปปฏิบัติงานที่อื่น ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงความรับผิดชอบของพนักงาน และอาจแต่งตั้งพนักงานหรือถอดถอนพนักงานจากตำแหน่งใดๆตามที่บริษัทเห็นสมควร
2.4. การลาออก
พนักงานที่มีความประสงค์จะลาออกจากการเป็นพนักงานจะต้องแสดงความจำนงด้วยการเขียนใบลาออก ยื่นต่อบริษัท ผู้บริหารหรือฝ่ายบุคคล โดยแจ้งการลาออกล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน โดยมีผลตามวันที่ระบุในใบลาออก และได้รับการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาโดยตรง
2.5. การรักษาความลับของบริษัท
ตลอดระยะเวลาจ้างงาน (เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสมควร) พนักงานจะไม่เปิดเผยให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดทราบหรือนำไปใช้แต่โดยประการอื่นซึ่งความลับเชิงพาณิชย์หรือข้อมูลที่เป็นความลับหรือทางการค้าอันเกี่ยวกับบริษัทหรือตัวแทนหรือลูกค้าของบริษัท ที่พนักงานได้ครอบครองในทางการจ้างตามสัญญาฉบับนี้ พนักงานจะต้องเก็บข้อมูล และไม่เปิดเผยข้อมูลบริษัทที่เป็นความลับทางการค้าเกี่ยวกับธุรกิจ แบบเทคนิค ความรู้ที่ได้จากบริษัท ข้อมูลการเงิน ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนเกี่ยวกับสิ้นค้าหรือบริการ หลังจากสิ้นสุดการจ้าง พนักงานไม่ควรเปิดเผยความลับทางการใดๆ ของบริษัท ข้อมูลต่างๆ ที่เป็นความลับทางธุรกิจ บริษัทมีสิทธิที่จะสั่งห้ามเพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลหรือใช้แสวงหาผลประโยชน์ได้
อนึ่งพนักงานฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติ ทำงานในส่วนนี้ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม อันเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเสียผลประโยชน์ พนักงานจะถูกลงโทษทางวินัยในสถานหนักหรืออาจถูกบริษัทเลิกจ้างได้โดยไม่จ่ายค่าชดเชย นอกนั้นพนักงานจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนข้อบังคับ เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในส่วนนี้ ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงกับทางบริษัท ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากบริษัท
2.6. ไม่เป็นคู่แข่งกับบริษัท
ภายในระยะเวลา 2 ปี หลังสิ้นสุดการว่าจ้าง พนักงานจะต้องไม่ชักชวนหรือทำธุรกิจกับลูกค้าซึ่งเคยเป็นลูกค้าของบริษัทตลอดระยะ 2 ปี ทันทีที่สิ้นสุดสัญญาการจ้างงาน
2.7. ทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญาทั้งปวงให้ตกเป็นทรัพย์สินของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว
3.1. วันเวลาทำงาน และเวลาพัก
บริษัทกำหนดวันทำงาน เวลาทำงาน และเวลาพักไว้ ดังนี้
3.1.1. วันทำงาน และเวลาทำงาน แบ่งเป็นแผนก ดังนี้
- แผนกสำนักงาน (Office) ทำงานวันจันทร์ – วันเสาร์ แบ่งเป็นกะ ดังนี้
- เข้าปฏิบัติงาน เวลา 08.30 น.- 17.30 น.
- แผนกชิปปิ้ง (Shipping) ทำงานวันจันทร์ – วันเสาร์ แบ่งเป็นกะ ดังนี้
- เข้าปฏิบัติงาน กะที่ 1 เวลา 08.30 น.- 17.30 น.
- เข้าปฏิบัติงาน กะที่ 2 เวลา 18.30 น.- 03.30 น.
3.1.2. วันหยุด วันหยุดประจำสัปดาห์ คือ วันอาทิตย์ หลังจากทำงาน 6 วัน ในแต่ละสัปดาห์
3.1.3. เวลาพัก บริษัทจัดเวลาพักให้กับพนักงานทุกคนมีเวลาพัก วันละ 1 ชั่วโมง เป็นไปตามระเบียบหรือความเหมาะสมของแต่ละแผนก และหน้าที่
3.1.4. ในกรณีพนักงานมาสายหรือหยุดงานโดยไม่แจ้งให้บริษัททราบ บริษัทมีสิทธิหักค่าจ้างพนักงานตามสมควรต่อไปดังนี้
- พนักงานมาสายไม่เกิน 3 ครั้ง ใน 1 เดือน บริษัทจะหักค่าจ้างครึ่งหนึ่งของค่าจ้างต่อวัน
- พนักงานมาสายเกิน 3 ครั้ง ใน 1 เดือน บริษัทจะหักค่าจ้างหนึ่งเท่าของค่าจ้างต่อวัน
- กรณีมาสายเกิน 15 วันต่อเดือน บริษัทจะพิจารณาส่งใบตักเตือนหรือพิจารณาเลิกจ้างแล้วแต่กรณี
- ฝ่ายบุคคลจะเป็นผู้พิจารณาการมาสายของพนักงาน และส่งให้ฝ่ายการเงินเพื่อหักค่าจ้างต่อไป
- หากพนักงานหยุดงานโดยไม่แจ้งกับผู้บังคับบัญชาหรือผู้ได้รับมอบหมายหรือฝ่ายบุคคลทราบ บริษัทจะถือว่าเป็นการขาดงาน โดยบริษัทจะหักค่าจ้างสองเท่าของค่าจ้างต่อวัน ตามจำนวนวันที่พนักงานขาด
3.1.5. พนักงานจะต้องบันทึกเวลาทำงาน เข้า-ออก ทุกครั้ง หากไม่บันทึกเวลาทำงานให้พนักงานระบุสาเหตุทุกครั้งที่ไม่สามารถบันทึกเวลาทำงานได้ มิฉะนั้นบริษัทมีสิทธิพิจารณาให้พนักงานมาสาย และ/หรือขาดงานในวันนั้นๆ แล้วแต่กรณี และบริษัทมีสิทธิหักเงินจำนวน 300 บาทต่อการไม่บันทึกเวลาเข้า-ออก หนึ่งครั้ง
3.1.6. ในกรณีลาป่วยหรือลากิจครึ่งวัน ให้พนักงานบันทึกเวลาทำงานตามเวลา เข้า-ออกด้วย มิฉะนั้นบริษัทมีสิทธิพิจารณาให้พนักงานมาสาย และ/หรือ ขาดงานในวันนั้นๆ แล้วแต่กรณี และบริษัทมีสิทธิหักเงินจำนวน 300 บาทต่อการไม่บันทึกเวลาเข้า-ออกหนึ่งครั้ง
3.1.7. ในกรณีขาดงานเกิน 3 วัน บริษัทพิจารณาเลิกจ้างทันทีโดยไม่จ่ายค่าชดเชยใดๆ
4.1. ประเภทการลา
บริษัทได้กำหนดประเภทการลาไว้ดังนี้
4.1.1. การลาเจ็บป่วย/ทุพพลภาพ
4.1.2. การลากิจ
4.1.3. การลาคลอด
4.1.4. การลารับราชการทหาร
4.1.5. การลาเนื่องจากทำหมัน
4.1.6. การลาเพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามรถ
4.2. หลักเกณฑ์การลา
4.2.1. การเจ็บป่วย/ทุพพลภาพ
- พนักงานมีสิทธิลาป่วยได้ตามความเป็นจริง แต่ได้รับค่าจ้างไม่เกิน 30 วันทำงานต่อ 1 ปี โดยได้รับค่าจ้างเท่ากับวันทำงานปกติ
- พนักงานเจ็บป่วยจนไม่สามารถมาทำงานได้ จะต้องแจ้งผู้บังคับบัญชา ผู้ที่ได้รับหมอบหมาย ฝ่ายบุคคลได้ทราบก่อนเวลา 08.30 น. ของวันที่ลาป่วยหรือทันทีที่สามารถแจ้งได้ และต้องยื่นใบลาป่วยภายในวันแรกที่กลับเข้าทำงานพร้อมหลักฐานการเจ็บป่วย และ/หรือ ใบรับรองแพทย์
- พนักงานที่ลาป่วยติดต่อกัน 3 วันทำงานขึ้นไป จะต้องมีใบรับรองแพทย์ของสถานพยาบาลของทางราชการหรือเอกชนแนบมาพร้อมใบลาป่วยด้วยทุกครั้ง ถ้าพนักงานไม่อาจหาแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งหรือสถานพยาบาลของทางราชการได้ ให้พนักงานชี้แจงแถลงเหตุผลความเป็นจริงให้บริษัทได้ทราบและพิจารณาอีกครั้ง
- ในกรณีที่พนักงานที่ลาป่วย โดยไม่แจ้งผู้บังคับบัญชาทราบ หรือปราศจากหลักฐานหรือใบรับรองแพทย์ที่น่าเชื่อถือ บริษัทอาจไม่อนุญาตให้ลาป่าย โดยถือเป็นการขาดงานและงดจ่ายค่าจ้างให้ในวันที่ขอลาหยุดดังกล่าว โดยบริษัทจะหักค่าจ้างสองเท่าของค่าแรง/วัน ตามจำนวนที่ลูกจ้างหยุด
- หากพนักงานไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ของตนตามสัญญาฉบับนี้ได้ตามสมควรเพราะเหตุเจ็บป่วยหรือเหตุทุพพลอื่นใด พนักงานจะต้องรายงานข้อเท็จจริงดังกล่าวให้บริษัททราบโดยพลัน ซึ่งบริษัทจะพิจารณาการต่อสัญญาจ้างงานอีกครั้ง
- พนักงานลาป่วยโดยไม่เหตุผลอันสมควรบ่อยครั้ง ลาป่วยเท็จ และบริษัทพิสูจน์ได้ว่าไม่ป่วยจริง บริษัทจะพิจารณาโทษทางวินัยตามความเหมาะสม ซึ่งจะพิจารณาเป็นใบตักเตือนให้พนักงานท่านนั้นเป็นกรณีไป
- การลาป่วยหรือจำนวนวันลาป่วยจะนำไปประกอบการพิจารณาเงินเดือน/ค่าจ้าง ประจำปี โบนัส(ถ้ามี)
4.2.2. การลากิจ
พนักงานสามารถลากิจได้ 7 วัน ต่อปี ในกรณีดังต่อไปนี้
1. ลาไปต่อบัตรประชาชนหรือทะเบียนบ้าน ต้องมอบหลักฐานใบเสร็จ โดยนำมาแสดงต่อบริษัททันที นับจากวันที่ได้กลับเข้ามาทำงาน
2. ลาไปทำหรือต่อหรือรับใบขับขี่รถทุกชนิด ต้องมอบหลักฐานใบเสร็จ โดยนำมาแสดงต่อบริษัททันที นับจากวันที่ได้กลับเข้ามาทำงาน
3. ลาไปสมรสโดยถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้พนักงานจะลาได้ครั้งเดียวตลอดทำงานกับบริษัท รวมทั้งต้องนำหลักฐานใบทะเบียนสมรสมาแสดงต่อบริษัท ภายใน 7 วันนับจากวันที่กลับเข้ามาทำงาน
4. ลาเพื่อดูแลบุตร ในกรณีภริยาของพนักงานคลอดบุตร ให้สามีซึ่งเป็นพนักงานของบริษัท ลากิจดังกล่าวได้ โดยต้องนำหลักฐานในสูติบัตรของบุตรมาแสดงต่อบริษัทภายใน 7 วันนับจากวันที่กลับเข้ามาทำงาน
5. ลากรณีบิดา มารดา คู่สมรสหรือบุตรธิดาของพนักงานป่วยหนัก และในกรณีปู่ย่า ตายาย พี่น้องที่สืบสายโลหิตโดยตรงของพนักงานป่วยหนักหรือหากบิดามารดาของคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายป่วยหนัก โดยจะต้องแสดงหลักฐานการป่วยมาแสดงต่อบริษัทภายใน 7 วันนับจากวันที่กลับเข้ามาทำงาน
6. กรณีบิดา มารดา คู่สมรสหรือบุตรธิดาของพนักงานเสียชีวิตและในกรณีปู่ย่า ตายาย พี่น้องที่สืบสายโลหิตโดยตรงของพนักงานเสียชีวิตหรือหากบิดามารดาของคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายเสียชีวิตโดยจะต้องแสดงหลักฐานใบมรณะบัตรมาแสดงต่อบริษัทภายใน 7 วันนับจากวันที่กลับเข้ามาทำงาน
- การลากิจในข้อ 1.- 4. ให้ลาติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 วันทำงาน และลากิจในข้อ 5.และ ข้อ 6. สามารถลาติดต่อกันได้ไม่เกิน 4 วันทำงาน
- การลาตามข้อ 1.-4. ให้พนักงานส่งใบลาให้กับผู้บังคับบัญชา ผู้ที่ได้รับมอบหมายหรือฝ่ายบุคคลทราบล่วงหน้าก่อนวันลาเป็นเวลา 3 วัน และลากิจตามข้อ 5. และข้อ 6. ให้พนักงานรีบแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบทันที และให้นำหลักฐานมาแสดงตามเวลาที่กำหนด หากพนักงานไม่ยื่นหลักฐานมาแสดงต่อบริษัทหรือฝ่ายบุคคล บริษัทจะหักค่าจ้างเท่ากับเงินค่าจ้างหนึ่งวันตามวันที่ลูกจ้างได้ขอลา
- บริษัทไม่อนุญาตให้พนักงานลากิจนอกเหนือจากการลาดังกล่าวข้างต้น
- พนักงานที่ยังไม่ผ่านระยะการทดลองงาน ไม่สามารถลากิจได้ หากพนักงานมีเหตุจำเป็นจะต้องลา บริษัทจะหักค่าจ้างเท่ากับเงินค่าจ้างหนึ่งวัน ตามวันที่ลูกจ้างได้ขอลา
- หากพนักงานได้ลากิจเกินกำหนดที่บริษัทกำหนดไว้ บริษัทสามารถหักเงินค่าจ้าง เท่ากับเงินค่าจ้างหนึ่งวันตามที่พนักงานได้ลาเกินกำหนด
- ผู้บริหาร ผู้บังคับบัญชา ผู้ได้รับมอบหมาย หัวหน้างานหรือฝ่ายบุคคลอาจอนุมัติหรือไม่อนุมัติการลากิจได้ตามความจำเป็น และความเหมาะสม
- พนักงานจะได้รับค่าจ้างในกรณีลากิจตามที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น
4.2.3. การลาคลอด
- พนักงานหญิงมีสิทธิ์ลาเพื่อคลอดบุตรได้ ครรภ์หนึ่งไม่เกิน 90 วัน ต่อ 1 ปี โดยให้รวมวันหยุดที่มีในระหว่างวันลาด้วยและมีสิทธิได้รับค่าจ้างใน 45 วันแรก
- การลาคลอด ให้พนักงานส่งใบลาให้กับผู้บังคับบัญชา และฝ่ายบุคคลทราบล่วงหน้าก่อนวันลาเป็น 15 วัน และจะต้องส่งใบรับรองแพทย์ตามหลักเกณฑ์เหมือนการลาป่วยเป็นหลักฐานต่อบริษัทภายใน 3 วันนับแต่วันที่กลับมาทำงาน
- ถ้าพนักงานหญิงนั้น ไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากการคลอด โดยมีใบรับรองแพทย์ยืนยันให้หยุดพักต่อ ให้มีสิทธิหยุดพักได้ตามใบรับรองแพทย์ไม่เกิน 60 วัน โดยนับต่อเนื่องกัน และเมื่อพนักงานมาทำงานแล้ว จะต้องส่งใบรับรองแพทย์ และสูติบัตรของบุตรที่เกิดเป็นหลักฐานต่อบริษัท ภายใน 3 วันที่ได้กลับมาทำงาน พนักงานจะไม่ได้รับค่าจ้างในการลานี้
4.2.4. การลารับราชการทหาร
- ให้พนักงานมีสิทธิลาเพื่อรับราชการทหารในการเรียกพลเพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหารหรือเพื่อทดลองความพรั่งพร้อม ตามกฎหมายว่าด้วยรับราชการทหารโดยให้พนักงานได้รับค่าจ้างเท่าเวลาที่ลาและมีระยะเวลาไม่เกิน 60 วัน ในการลารับราชการทหารดังกล่าวนี้ พนักงานต้องยื่นใบลาหยุดทันทีที่ได้รับหมายเรียก พร้อมแนบสำเนาหมายเรียกเพื่อขออนุญาตลา หากพนักงานไม่ยื่นใบลาให้ถูกต้องตามระเบียบข้อนี้จะถือว่าเป็นการขาดงาน รวมทั้งต้องนำหลักฐานที่เกี่ยวข้องแสดงต่อบริษัทภายใน 7 วัน นับแต่วันที่สิ้นสุดการระดมพลเพื่อตรวจสอบหรือวิชาทหารหรือทดลองความพรั่งพร้อม
- การลาสำหรับผู้ที่ถูกเกณฑ์ทหารจะต้องลาออกจากเป็นพนักงาน และเมื่อครบระยะเวลาแล้ว หากพนักงานต้องการทำงานกับบริษัทอีกให้ติดต่อกับบริษัทภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่ปลด บริษัทจะพิจารณาเข้าทำงาน โดยได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างครั้งสุดท้ายที่ลาออกในตำแหน่งที่เหมาะสมที่มีตำแหน่งว่างให้รอไปก่อน
4.2.5. การลาเนื่องจากการทำหมัน
- พนักงานสามารถทำหมันได้ โดยยื่นใบลาล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันและลาได้ตามระยะเวลาที่แพทย์ปัจจุบันชั้นหนึ่งกำหนดและต้องยื่นใบรับรองแพทย์ ต่อผู้บังคับบัญชาภายใน 3 วัน หลังจากเข้าทำงาน ในกรณีที่พบว่าแผลที่เกิดจากการทำหมันไม่หายและไม่สามารถหยุดเท่าที่ระบุไว้ในใบรับรองแพทย์ของการทำหมัน พนักงานต้องใช้วันลาได้เพียงครั้งเดียว ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการทำหมันไม่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้
4.2.6. การลาเพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถ
มีรายละเอียดดังนี้
- เพื่อประโยชน์ต่อการแรงงาน และสวัสดิการสังคมหรือการเพิ่มทักษะความชำนาญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน
- การสอบวัดผลทางการศึกษาที่ทางราชการจัดหรืออนุญาตให้จัดขึ้นให้พนักงานชีแจงถึงสาเหตุที่ลาโดยชัดเจน พร้อมทั้งแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยยื่นล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน บริษัทฯจะพิจารณาการลาตามความเหมาะสม ซึ่งบริษัทอาจจะไม่อนุญาตให้ลาก็ได้ หากพนักงานเคยได้รับอนุญาตให้ลามาแล้วไม่น้อยกว่า 30 วันหรือ 3 ครั้ง หรือการลานั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการประกอบธุรกิจของบริษัท
- ในวันที่พนักงานลาเพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาการความรูความสามารถนั้น พนักงานจะไม่ได้รับค่าจ้าง
5.1. วันหยุดประจำสัปดาห์
- บริษัทกำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์ 1 วัน คือ วันอาทิตย์
5.2. วันหยุดประเพณี
5.2.1. บริษัทกำหนดให้มีวันหยุดตามประเพณี โดยพนักงานมีสิทธิได้รับวันหยุด 13 วันต่อปี บริษัทจะประกาศให้ทราบก่อนวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี
หมายเหตุ : อาจมีการเปลี่ยนแปลงวันหยุดได้ตามความเหมาะสมในแต่ละปี โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย พนักงานจะได้ค่าจ้างในวันทำงานนี้
5.3. วันหยุดประจำปี
5.3.1. พนักงานที่ทำงานไม่ครบหนึ่งปี ยังไม่มีสิทธิได้รับวันหยุดประจำปี โดยพนักงานจะมีสิทธิได้รับวันหยุดประจำปีได้ในปีถัดไป
5.3.2. พนักงานที่ทำงานครบหนึ่งปีขึ้นไป มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปีได้ 6 วัน
5.3.3. หลักเกณฑ์การหยุดประจำปี
- พนักงานจะต้องยื่นใบลาล่วงหน้าให้บริษัททราบไม่น้อยกว่า 5 วัน เพื่อให้ผู้บังคับบัญชา ผู้ได้รับมอบหมายหรือฝ่ายบุคคลจัดบุคลากรเพื่อปฏิบัติงานแทนในวันที่พนักงานลาหยุดพักผ่อนประจำปี และเมื่อได้รับการอนุมัติแล้วจึงจะหยุดงานตามที่ขอลาได้ ทั้งนี้ผู้บังคับบัญชา ผู้ได้รับมอบหมายที่มีอำนาจให้การอนุมัติ อาจอนุมัติหรือไม่ก็ได้ ให้ลดหรือเพิ่มหรือเลื่อน ให้เปลี่ยนแปลงวันขอลาหยุดใหม่ตามความจำเป็น หรือตามความเหมาะสมได้
- เพื่อความจำเป็นในการทำงานต่อเนื่อง บริษัทสามารถกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้กับพนักงานได้ตามความเหมาะสม
6.1. การจ่ายค่าจ้าง
พนักงานจะได้รับเงินเดือนภายในวันที่ 30 เดือนของทุกเดือน หรืออาจไม่เกินวันที่ 1 ในเดือนถัดไป
6.2. การรับค่าจ้าง
บริษัทจะโอนเข้าบัญชีเงินฝากในเครือธนาคารกสิกรไทยที่พนักงานได้ให้ไว้กับบริษัทเท่านั้น ซึ่งให้ถือเสมือนเป็นหลักฐานในการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของพนักงาน โดยได้รับความยินยอมจากพนักงานและเป็นเอกสารที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินดังกล่าว จึงไม่จำเป็นที่จะทำให้พนักงานลงลายมือชื่อรับค่าจ้าง
6.3. อัตราค่าล่วงเวลา
6.3.1. ในกรณีที่บริษัทแจ้งให้พนักงานทำงานเกินเวลาในวันทำงานบริษัทจะจ่ายค่าล่วงเวลาให้พนักงานหนึ่งเท่าครึ่งของค่าจ้างต่อชั่วโมง
6.3.2. พนักงานที่ทำล่วงเวลาในวันหยุดประจำสัปดาห์ และวันหยุดประเพณี บริษัทจะจ่ายค่าจ้างให้กับพนักงานดังต่อไปนี้
- พนักงานซึ่งมีสิทธิได้รับค่าจ้างวันหยุด บริษัทจะจ่ายค่าจ้างให้หนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้างต่อวันหรือต่อชั่วโมงตามจำนวนชั่วโมงทำงาน
- พนักงานซึ่งไม่สิทธิได้รับค่าจ้างวันหยุด บริษัทจะจ่ายค่าจ้างให้สองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อวันหรือต่อชั่วโมงตามจำนวนชั่วโมงทำงาน
6.3.3. บริษัทสามารถให้พนักงานที่ทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ และวันหยุดประเพณี โดยให้พนักงานไปหยุดชดเชยในวันอื่นแทนตามที่บริษัท และผู้บังคับบัญชาเห็นสมควร โดยบริษัทไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างในวันที่พนักงานทำงานนั้น บริษัท ผู้บริหาร และผู้บังคับบัญชาจะกำหนดวันหยุดให้กับพนักงานซึ่งพนักงานไม่สามารถเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงวันหยุดได้และไม่สามารถใช้ไปรวมเข้ากับปีถัดไปได้หรือใช้วันหยุดเกินหก (6) วันทำงานในคราวเดียวกันโดยมิได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการบริษัท
6.3.4. หากพนักงานไม่ได้ใช้วันหยุดประจำสัปดาห์และวันหยุดประเพณีภายใน 1 ปี บริษัทจะพิจารณากำหนดวันพักให้กับพนักงานตามควานเหมาะสมภายในปีนั้นๆ
หมายเหตุ
- ระยะทดลองงาน 120 วัน หลังจากพนักงานได้รับการบรรจุงานเต็มเวลาแล้วบริษัทอาจจะพิจารณาอัตราเงินเดือนใหม่ให้อีกครั้งตามผลงาน และความสามารถตามที่บริษัทเห็นสมควร ซึ่งจะแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้ง
- ค่าจ้างของพนักงานถือว่าเป็นความลับของบริษัท และพนักงานห้ามมิให้พนักงานเปิดเผยกับผู้ใดมิเช่นนั้นจะถือว่ามีความผิด บริษัทสามารถลงโทษได้ตามความเหมาะสม
- โบนัสจะจ่ายให้ 1 ครั้ง/ปี ซึ่งบริษัทจะพิจารณาจากผลงานของพนักงาน และการประเมินของฝ่ายบริหาร ทั้งนี้ ขึ้นกับบรรลุเป้าหมายตามบริษัทตกลงกำหนดไว้ร่วมกัน และผลกำไลของบริษัทจ่ายหรือการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท อนึ่งการจ่ายเงินโบนัสมิใช่สิ่งที่พนักงานจะคาดหวังได้ตลอดไป
- บริษัทขอทรงสิทธิไว้ซึ่งการพิจารณาปรับเพิ่มหรือลดอัตราค่าจ้าง เงินเดือนได้ตามสมควร
บริษัทฯได้จัดให้มีสวัสดิการและสิทธิประโยชน์สำหรับพนักงาน ดังนี้
7.1. ประกันสังคม
บริษัทดำเนินการให้พนักงานทุกคนเป็นผู้ประกันตน ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 โดยบริษัท และพนักงานต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือนในอัตราที่กำหนดตามประกาศของสำนักงานประกันสังคมในแต่ละปี
7.2. เครื่องแบบพนักงาน
เพื่อความเป็นมาตรฐาน และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบริษัท บริษัทจึงเป็นผู้กำหนดแบบเสื้อและสี มอบให้กับพนักงาน พนักงานจะต้องสวมใส่มาปฏิบัติงาน
7.3. เงินช่วยเหลือกรณี สามี, ภรรยา, บุตร, บิดา, มารดา เสียชีวิต
บริษัทฯจัดให้มีการช่วยเหลือแก่พนักงานหรือครอบครัวของพนักงานในกรณีที่พนักงานหรือครอบครัวเสียชีวิต บริษัท ผู้บริหารจะเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม
7.4. ค่าเบี้ยเลี่ยงอื่นๆ
บริษัทได้กำหนดเงินค่าเบี้ยขยัน สำหรับพนักงานที่มาทำงานเป็นประจำที่ไม่เคยขาดลามาสายภายในเดือนนั้นๆ บริษัทจะจ่ายค่าเบี้ยขยันให้กับพนักงานพร้อมเงินเดือนของทุกเดือนตามที่บริษัทได้กำหนดไว้ พนักงานคนใดที่ขาดลามาสายภายในเดือนนั้นๆ บริษัทจะไม่จ่ายค่าเบี้ยขยันให้กับพนักงาน บริษัทขอทรงสิทธิไว้ซึ่งการพิจารณาปรับเพิ่มหรือลดอัตราค่าเบี้ยขยันได้ตามความเหมาะสมของการประกอบธุรกิจ
บริษัทได้กำหนดเงินค่าเบี้ยอาหารกลางวัน มื้อล่ะ 100 บาท สำหรับพนักงานที่มาสแกนนิ้วเข้าทำงานของแต่ล่ะวันทำงาน
บริษัทกำหนดจ่ายเงินค่าเบี้ยอาหารกลางวันพร้อมเงินเดือนของทุกเดือนตามที่บริษัทได้กำหนดไว้
ข้อกำหนด
พนักงานแผนกชิปปิ้ง (Shipping) จะไม่ได้รับสิทธิค่าเบี้ยอาหารกลางวัน
พนักงานสำนักงาน (Office) จะได้ค่าเบี้ยอาหารกลางวันก็เมื่อสแกนนิ้วเข้าทำงานเท่านั้น
เพื่อเป็นแนวทางของบริษัท ผู้บริหาร ในการพิจารณา ส่งเสริม แก้ไขหรือปรับปรุงความประพฤติ ระเบียบวินัยของพนักงาน ในการทำงานให้เกิดความสงบเรียบร้อย ปลอดภัย มีความเป็นธรรมต่อพนักงาน นำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของพนักงาน และบริษัท ส่งเสริมให้ดำเนินธุรกิจของบริษัทบรรลุเปาหมายและรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์สูงสุดของบริษัท แต่กระนั้นการกระทำการใดๆ ที่กฎและระเบียบข้อบังคับของบริษัทมิได้กำหนดไว้ มิได้ได้หมายความว่าผู้กระทำผิดนั้นๆ จะพ้นจากการถูกลงโทษ เพราะฉะนั้นในกรณีที่มีผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎ บริษัทจะลงโทษตามลักษณะการฝ่าฝืนระเบียบนั้นๆ ดังนี้
8.1. ระเบียบวินัยเกี่ยวกับการทำงานของพนักงาน
8.1.1. พนักงานต้องปฏิบัติงานสม่ำเสมอตามวันเวลาที่กำหนด ไม่เข้าทำงานสายบ่อยครั้ง
8.1.2. ไม่ล่ะทิ้งหน้าที่ ขาดงานหรือหยุดงาน โดยไม่มีเหตุอันควร
8.1.3. พนักงานต้องปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการลา หรือการหยุดงาน โดยเคร่งครัด
8.1.4. ห้ามบันทึกเวลาการทำงานแทนพนักงานคนอื่น หรือแก้ไขเพิ่มเติมเวลาทำงาน อันทำให้พนักงานคนอื่นได้ผลประโยชน์หรือเสียประโยชน์
8.1.5. พนักงานต้องสวมใส่เครื่องแบบแบบทำงานที่บริษัทกำหนด
8.2. ระเบียบวินัยการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงาน
8.2.1. ประพฤติตนเป็นพลเมืองที่ดีอยู่ในระเบียบและกฎเกณฑ์ของสังคม ไม่ประพฤติชั่ว กระทำหรือร่วมกันกระทำการใดๆอันเป็นการผิดกฎหมายของบ้านเมืองทั้งในและนอกบริษัท
8.2.2. เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งโดยชอบของบริษัท ผู้บริหาร ผู้บังคับบัญชาและให้มีการใช้อำนาจหน้าที่หากบริษัท ผู้บริหาร และ/หรือ ผู้บังคับบัญชามอบหรือมอบไว้โดยสมควรเป็นครั้งคราว
8.2.3. เคารพ และปฏิบัติตามระเบียบวินัยในการทำงานของบริษัทโดยเคร่งครัด
8.2.4. ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ขยันหมั่นเพียร เสียสละ อดทน และมีความตั้งใจจริง อุทิศเวลา ความเอาใจใส่และความสามารถ
8.2.5. ปฏิบัติตามคำร้องขอ คำสั่ง และข้อบังคับอันสมควรของบริษัท ผู้บริหาร และให้คำชี้แจงข้อมูลและความช่วยเหลือต่างๆ แก่บริษัท ผู้บริหาร และผู้บังคับบัญชาตามที่กำหนดไว้ตามสมควร
8.2.6. ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อบริษัท ผู้บริหาร สั่งในการโยกย้ายพนักงานไปแผนกหรือหน่วยงานอื่นใดในบริษัท หรือโยกย้ายเปลี่ยนแปลงสถานที่ทำงานไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือเป็นการถาวร โดยไม่ไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากพนักงาน
8.2.7. ไม่เข้าดำรงตำแหน่ง มีสวนเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนได้เสีย ไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม ในธุรกิจอื่นใดที่เป็นการแข่งขันกับบริษัท ไม่ว่าฐานะตัวการหรือฐานอื่นใด
8.2.8. ไม่แจงหรือรายงานความเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำงานกับบริษัท ผู้บริหาร และพนักงานต้องให้ความร่วมมือกับบริษัทในการสอบสวนเรื่องราวต่างๆ ที่บริษัทต้องการและการร่วมมือดังกล่าวต้องกระทำโดยสุจริต
8.2.9. ห้ามล่ะทิ้งหน้าที่หรือขาดงาน และไม่จงใจหรือเจตนาปฏิบัติงานให้ล่าช้า
8.2.10. พนักงานต้องช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของบริษัทเป็นสูงสุด ไม่แสวงหาหรือยอมรับผลประโยชน์ใดๆ จากคณะบุคคลประกอบกิจการอันเป็นการแข่งขันกับบริษัท
8.2.11. ต้องไม่ใช้เวลาทำงานของบริษัทไปเพื่อทำกิจธุระส่วนตัวหรือกระทำการใดๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานในหน้าที่
8.2.12. พนักงานต้องเก็บข้อมูลและไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆ อันเป็นเรื่องปกปิด หรือความลับเกี่ยวกับกิจการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งพนักงานจะไม่เผยให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดทราบ หรือนำไปใช้แต่โดยประการอื่นซึ่งความลับเชิงพาณิชย์หรือข้อมูลที่เป็นความลับหรือทางการค้าอันเกี่ยวกับบริษัทตัวแทนหรือลูกค้าของบริษัท
8.2.13. ห้ามมิให้พนักงานเปลี่ยนแปลง ปลอมแปลง แก้ไข ตัดท่อนหรือทำลายเอกสารต่างๆของบริษัทหรือเอกสารที่มีการเกี่ยวข้องระหว่างบริษัทกับพนักงาน โดยไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ที่จะกระทำดังกล่าว
8.3. ระเบียบวินัยที่เกี่ยวกับความประพฤติของพนักงาน
8.3.1. พนักงานต้องเชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบธรรมของบริษัท ผู้บริหาร ทั้งคำสั่งด้วยวาจาลายลักษณ์อักษรหรือสื่อข้อความอื่นๆ ของบริษัท
8.3.2. ไม่ใช้กริยาวาจาไม่สุภาพต่อเพื่อนร่วมงาน และผู้อื่น
8.3.3. ไม่กระทำหรือสนับสนุนให้มีการทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมงาน
8.3.4. ไม่แพร่ข่าวอกุศล ใส่ร้ายผู้อื่น แอบอ้างทำให้เกิดความเสียหายแก่พนักงานหรือบริษัทหรือก่อให้เกิดความแตกแยกความสามัคคีในระหว่างพนักงานด้วยกัน
8.3.5. ห้ามนำสิ่งเสพติด สุราของมึนเมาและของผิดกฎหมายเข้ามาบริเวณบริษัทหรือพื้นที่ปฏิบัติงาน
8.3.6. ไม่สิ่งเสพติด สุราหรือมึนเมาระหว่างเวลาทำงานในสภาพมึนเมาหรือห้ามเล่นการพนันทุกชนิดในบริเวณบริษัทหรือพื้นที่ปฏิบัติงาน
8.3.7. ห้ามไม่ให้พูดจาหยอกล้อ เล่น พูดจายั่วยวน ส่งเสียงดังรบกวนหรือกระทำการใดๆ รบกวนพนักงานอื่นในเวลาปฏิบัติงาน
8.3.8. พนักงานต้องไม่พกอาวุธ หรือครอบครองสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิดเข้ามาในบริเวณบริษัทหรือพื้นที่ปฏิบัติงาน รวมถึงบ้านพักที่บริษัทจัดหาให้
8.3.9. ห้ามแจกใบปลิว ติดป้ายประกาศ ออกแถลงการณ์ หรือใช้เครื่องขยายเสียง ในบริเวณบริษัทหรือพื้นที่ปฏิบัติงานอื่นที่บริษัทกำหนดไว้
8.3.10. พนักงานต้องไม่เปิดเผยค่าจ้างของตัวเอง และผู้อื่น
8.3.11. พนักงานต้องดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง ไม่ให้เป็นโรคที่รังเกียจหรือโรคติดต่อร้ายแรง อาทิ โรคซาร์ส, โรคซิฟิลิส, วัณโรค หรือเอดส์ เป็นต้น
8.3.12. พนักงานต้องไม่กระทำการเป็นล่วงละเมิดทางเพศซึ่งกัน และกันในเวลาทำงานทั้งในบริษัทหรือสถานที่ปฏิบัติงานอื่นที่บริษัทกำหนดให้
8.4. การรักษาความลับของบริษัท
8.4.1. พนักงานต้องรักษาความลับในหน้าที่การงาน ไม่พึ่งเปิดเผยต่อผู้อื่น
8.4.2. พนักงานต้องรักษาความลับของลูกค้าของบริษัท และพนักงานอื่นหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัท
8.4.3. พนักงานต้องรักษาความลับ และชื่อเสียงของบริษัท
8.4.4. พนักงานต้องไม่เปิดเผยค่าจ้างหรือเงินเดือน อัตราการขึ้นเงินเดือนของตนเองหรือของผู้อื่น โดยจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตามให้พนักงานผู้อื่นรับทราบ
8.5. การรักษาผลประโยชน์ของบริษัท
8.5.1. พนักงานต้องไม่ไปเกี่ยวข้องในการประกอบธุรกิจอื่นใด อันอาจมีผลกระทบกระเทือนถึงประโยชน์ของบริษัทหรือเป็นการแข่งขันกับบริษัท
8.5.2. พนักงานต้องไม่ปฏิบัติสิ่งใดเป็นการขัดผลประโยชน์ของบริษัท ทั้งทางตรงและทางอ้อม
8.5.3. พนักงานต้องรักษา และเสริมสร้างชื่อเสียงอันดีงามของบริษัท
8.5.4. พนักงานต้องรักษาผลประโยชน์ของบริษัท โดยถือเสมือนว่าเป็นผลประโยชน์ตนเอง
8.5.5. ห้ามพนักงานรับสินบนจากผู้อื่น ห้ามแสวงหากำไรอันมิชอบจากบริษัท มิให้ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้ หรือมิชอบด้วยกฎหมายต่อตนเองและผู้อื่น
8.6. บทลงโทษ
ระเบียบวินัยของพนักงานตามที่ระบุข้างต้นมานี้ พนักงานมีหน้าที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถ้าพนักงานผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติใดๆ อันถือว่าเป็นการฝ่าฝืนวินัยดังกล่าว จะต้องถูกพิจารณาลงโทษทางวินัยตามลักษณะแห่งความผิด หรือความหนักเบาของการกระทำผิดหรือความร้ายแรงที่เกิดขึ้น การลงโทษเป็นไปตามข้อหนึ่งข้อใดหรือหลายข้อรวมกันก็ได้ตามบทลงโทษทางวินัย บริษัทกำหนดบทลงโทษทางวินัยไว้ 4 ประการ ดังนี้
8.6.1. ตักเตือนด้วยวาจาโดยบันทึกเป็นเอกสารเพื่อเป็นหลักฐาน
8.6.2. ตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร (หนังสือตักเตือนมีอายุ 12 เดือน นับแต่วันที่พนักงานกระทำผิด)
8.6.3. พักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง มีกำหนดไม่เกิน 7 วัน (การพักงานในระหว่างการสอบสวนไม่ถือเป็นการพักงานเพื่อการลงโทษ)
8.6.4. เลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย
8.7. การลงโทษด้วยการเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย
ในกรณีพนักงานเป็นผู้กระทำผิดต่อกฎข้อบังคับหรือวินัยของบริษัท บริษัทจะไม่จ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงานในกรณีเลิกจ้าง โดยหลักเกณฑ์พิจารณาดังต่อไปนี้
8.7.1. ขาดงานหรือละทิ้งหน้าที่เกิดกว่า 3 วัน ติดต่อกัน ไม่ว่าจะมีวันหยุดขั้นก็ตาม โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและไม่แจ้งให้บริษัททราบ
8.7.2. ละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง ที่เป็นสาระสำคัญของสัญญาฉบับนี้หรือเพิกเฉยละเลยหรือปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายตามสมควรตามสัญญาฉบับนี้
8.7.3. ได้รับใบเตือนทั้งหมด 3 ครั้ง หรือใบเตือนการเรื่องดื่มเครื่องดื่มมึนเมา และเล่นการพนันในสถานที่ทำงานทั้งหมด 2 ครั้ง
8.7.4. ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่บริษัท
8.7.5. เปิดเผยความลับบริษัทหรือจงใจทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย
8.7.6. ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย
8.7.7. ตกเป็นผู้ป่วยทางจิต
8.7.8. ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบคำสั่งของบริษัทหรือผู้บริหารอันและได้มีการตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีร้ายแรงไม่จำเป็นต้องตักเตือน หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่พนักงานได้กระทำผิด
8.7.9. ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
8.7.10. นินทานายจ้าง(แม้กระทั่งในแอปไลน์) การบ่น ด่า เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานในสถานที่ประกอบนั้น ไม่เว้นแต่ในโซเชียลมีเดีย
8.8. ในกรณีที่พนักงานทำผิดวินัยบริษัทจะเรียกพนักงานผู้กระทำความผิดมาสอบสวนในเบื้องต้น หากพิสูจน์แล้วมีความผิดจริง จะดำเนินการตามบทลงโทษต่อไป เว้นแต่กรณีร้ายแรงที่สร้างความเสียหายให้กับบริษัท บริษัทจะพิจารณาเลิกจ้างทันทีโดยไม่จ่ายค่าชดเชย
8.9. ทางบริษัทขอสงวนสิทธิที่จะเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมกฎระเบียบข้อบังคับในการทำงานของบริษัท เพื่อความเหมาะสม ตามสภาพของสถานการณ์ภายหน้า โดยบริษัทจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน
8.10. ผู้มีอำนาจพิจารณาและดำเนินการลงโทษตามบทลงโทษกับพนักงานทุกตำแหน่งในบริษัทคือ บริษัท ผู้บริหาร โดยแจ้งกำหนดลงโทษมายังฝ่ายบุคคลบริษัท เพื่อออกหนังสือตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรต่อไป
บริษัทฯ ปรารถนาที่จะทำให้การทำงานของพนักงานเป็นไปด้วยความเข้าใจที่ระหว่างบริษัทกับพนักงาน อันจะยังประโยชน์สุขด้วยกันทั้งสองฝ่าย ในกรณีที่พนักงานมีปัญหา ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงาน หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องใด พนักงานมีสิทธิที่จะยื่นความร้องทุกข์เป็นการส่วนตัวได้ โดยทุกข์นั้นต้องไม่ขัดกับระเบียบบริษัทซึ่งแล้วแต่กรณี ซึ่งกระทำได้ดังต่อไปนี้
9.1. วิธีการและขั้นตอนการร้องทุกข์
9.1.1. การยื่นคำร้องทุกข์
- ให้พนักงานเขียนคำร้องทุกข์เป็นหนังสือระบุถึงสาเหตุระบุถึงวิธีการแก้ไข คำร้องทุกข์จะต้องลงลายมือชื่อยื่นต่อฝ่ายบุคคลบริษัทภายใน 15 วัน
- พนักงานผู้ร้องทุกข์จะต้องยื่นหนังสือด้วยตนเอง บริษัทไม่รับพิจารณาในกรณีที่พนักงานผู้อื่นเป็นผู้ยื่นร้องทุกข์แทน
9.1.2. การสอบสวนและพิจารณาเข้าร้องทุกข์
- เมื่อฝ่ายบุคคลได้รับคำร้องทุกข์จะทำการสอบสวนและพิจารณาข้อร้องทุกข์และรายงานต่อ ผู้บริหาร ผู้บังคับบัญชาระดับสูงเพื่อดำเนินการหาทางยุติเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันระหว่างพนักงานกับบริษัท โดยจะชี้แจ้งด้วยวาจาหรืออาจตอบเป็นหนังสือแก่พนักงานยื่นคำร้องทุกข์ภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องทุกข์นั้น
- กรณีพนักงานผู้ยื่นคำร้องทุกข์ไม่ได้รับคำตอบจากผู้บริหาร ผู้บังคับบัญชา หรือได้รับคำตอบแล้วแต่ไม่พอใจในการพิจารณาในข้อ 9.1.2. ให้พนักงานผู้ร้องทุกข์ยื่นอุทธรณ์ต่อผู้บริหาร ผู้บังคับบัญชาได้อีกครั้งภายใน 5 วัน นับแต่วันที่ทราบผล โดยผู้บริหาร ผู้บังคับบัญชา จะวินิจฉัยและแจ้งผลให้พนักงานผู้ร้องทุกข์ทราบ คำตัดสินของผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชาระดับบริหารถือเป็นอันสิ้นสุด ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องถือปฏิบัติตาม
9.2. กระบวนการยุติข้อร้องทุกข์
9.2.1. กรณีพนักงานไม่ได้ดำเนินการในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในระเบียบ ให้ถือว่าข้อร้องทุกข์นั้นสิ้นสุด อาจจะขยายออกไปได้เมื่อมีการตกลงยินยอมระหว่างพนักงานกับผู้บริหาร
9.2.2. ผู้มีอำนาจในการวินิจฉัยข้อร้องทุกข์ตามข้อ 9.1.1., 9.1.2. จะต้องพิจารณาแก้ไขปัญหาด้วยความยุติธรรมเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันระหว่างพนักงานกับบริษัท ดังนั้นพนักงานอาจขอคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาของพนักงานและแนวทางปฏิบัติในการที่ถูกต้องได้ตลอดเวลา
9.3. ความคุ้มครองผู้ยื่นคำร้องทุกข์และผู้เกี่ยวข้อง
9.3.1. บริษัทยึดหลักความเสมอภาคและความยุติธรรม ตลอดจนมุ่งเน้นความสัมพันธ์อันดีภายในองค์กรเป็นสำคัญ ดังนั้นพนักงานผู้ยื่นคำร้องทุกข์และผู้เกี่ยวข้อง บริษัทจะให้การเอาใจใส่และพิจารณาด้วยความเป็นธรรมเพื่อดำรงไว้ซึ่งบรรยากาศแรงงานสัมพันธ์ที่ดี
9.3.2. พนักงานผู้ร้องทุกข์ และผู้เกี่ยวข้องจะไม่ถูกดำเนินการทางวินัยเนื่องจากการร้องทุกข์ เว้นแต่ขอร้องทุกข์เป็นความเท็จหรือผู้ร้องทุกข์หรือผู้เกี่ยวข้องกระทำผิดวินัยด้วยตนเอง
10.1.1. ถึงแก่กรรม หมายถึง พนักงานที่ถึงแก่ความตายไม่ว่าด้วยเหตุใด โดยมีใบมรณะบัตร ซึ่งออกให้โดยทางราชการมามอบให้ทางบริษัท
10.1.2. ลาออก หมายถึง พนักงานสมัครใจจะลาออก โดยยื่นความจำนงเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ไม่น้อยกว่า 30 วัน ก่อนถึงวันที่พนักงานประสงค์จะล่าออก การล่าออกจะมีผลต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจอนุมัติแล้ว
10.1.3. ในกรรีสัญญาจ้างงานไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้าง บริษัทหรือพนักงานอาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ ไม่น้อยกว่า 30 วัน เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากัน
10.2. การเลิกจ้าง
10.2.1. ในกรณีที่บริษัทสั่งเลิกจ้างพนักงานโดยที่พนักงานมิได้กระทำผิดแต่อย่างใด พนักงานมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย โดยบริษัทจะแจ้งพนักงานเป็นลายลักษณ์อักษรให้ทราบก่อนไม่น้อยกว่า 30 วัน ซึ่งบริษัทจะจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานตามอัตราดังนี้
- พนักงานที่ทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี บริษัทจ่ายเงินชดเชยให้เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
- พนักงานที่ทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี บริษัทจ่ายเงินค่าชดเชยให้เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
- พนักงานที่ทำงานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี บริษัทจ่ายเงินค่าชดเชยให้เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
- พนักงานที่ทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี บริษัทจ่ายเงินค่าชดเชยให้เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 220 วัน
- พนักงานที่ทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป บริษัทจ่ายเงินค่าชดเชยให้เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน
10.2.2. ในกรณีพนักงานเป็นผู้กระทำผิดต่อกฎข้อบังคับของบริษัท บริษัทจะไม่จ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงานซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
1. ขาดงานหรือละทิ้งหน้าที่เกินกว่า 3 วัน ติดต่อกัน ไม่ว่าจะมีวันหยุดขั้นหยุดหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และไม่แจ้งให้บริษัททราบ
2. ละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งที่เป็นสาระสำคัญของสัญญาฉบับนี้หรือเพิกเฉย ละเลยหรือปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายตามสมควรตามสัญญาฉบับนี้
3. ได้รับใบเตือน 3 ครั้ง หรือใบเตือนเรื่องการดื่มเครื่องดื่มมึนเมา และเล่นการพนันในสถานที่ทำงาน ทั้งหมด 2 ครั้ง
4. ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่บริษัท
5. จงใจทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย
6. ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย
7. ตกเป็นผู้ป่วยทางจิต
8. ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบคำสั่งของบริษัทหรือผู้บังคับบัญชาอันและได้มีการตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีร้ายแรงไม่จำเป็นต้องตักเตือน หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกินหนึ่งปี นับแต่วันที่พนักงานกระทำผิด
9. ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
10. พนักงานที่สมัครใจลาออกเอง
11. พนักงานทดลองงานตามที่กำหนดเวลาทดลองงานไว้ไม่ครบ 120 วัน และเลิกจ้างในระหว่างเวลานั้น
12. สำหรับการจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของบริษัท ซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอน หรือในงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว ที่มีกำหนดการสิ้นสุด หรือความสำเร็จของงานหรืองานตามฤดูกาล ซึ่งงานนั้นจะต้องเสร็จภายในไม่เกินเวลาสองปี
13. พนักงานที่บริษัทบอกเลิกจ้าง หากบริษัทสามารถพิสูจน์ทราบภายหลังว่าก่อนเข้าทำงานมีการแจ้งข้อความเป็นเท็จและก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัท
1. ระเบียบข้อบังคับนี้ใช้ต่อพนักงานทุกคนทุกตำแหน่ง
2. ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือคำสั่งอื่น ที่มีผลบังคับใช้ในบริษัทก่อนหน้านี้ที่ประกาศใช้บังคับ และมีข้อแตกต่างไปจากข้อบังคับนี้ให้ยกเลิกข้อความเฉพาะในส่วนที่ขัดแย้งกับข้อบังคับนี้ และให้ใช้บังคับนี้แทน
3. ข้อบังคับนี้ประกาศทางเว็ปไซต์ของบริษัทที่ http://panel.chartintercorp.co.th/ พนักงานสามารถเข้าไปดูในเว็ปไซต์เพื่อศึกษาถึงรายละเอียดข้อบังคับนี้ โดยให้ถือว่าพนักงานต้องมีหน้าที่เข้าไปอ่าน และทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบนี้ทั้งหมดแล้ว และพนักงานเข้าใจโดยถ่องแท้แล้ว พนักงานได้ยอมรับโดยไม่ต้องลงนามแต่อย่างใด และนำไปปฏิบัติตาม